การใช้คำว่า “ตราสารหนี้” ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเปลี่ยนมือของผู้ถือ (นักลงทุนในตราสารหนี้) ซึ่งแตกต่างจากสัญญากู้ยืมที่แสดงความเป็น “เจ้าหนี้” และ “ลูกหนี้” ของผู้ให้กู้กับผู้กู้เงิน เหมือนกัน แต่สัญญากู้ยืมเงินนั้นขาดความสามารถในการเปลี่ยนมือของความเป็น “เจ้าหนี้” ระหว่างนักลงทุนทั้งนี้การเปลี่ยนมือของตราสารหนี้ระหว่างนักลงทุนนั้น สามารถทำผ่านกลไกตลาดรอง (secondary market) ได้ ซึ่งปัจจุบันตลาดรองของตราสารหนี้ก็คือ BEX (Bond Electronic Exchange) ที่ดำเนินการโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ตามความหมายข้างต้น แสดงว่าตราสารหนี้ก็คือ ตราสารทางการเงินชนิดหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่ต้องการเงินทุน (ผู้กู้) และผู้ที่มีเงินทุนแต่ต้องการผลตอบแทน (ผู้ให้กู้) ผูกพันกัน โดยมีข้อกำหนดต่างๆ ที่ระบุในสัญญาหุ้นกู้ (indenture) เป็นกฎกติการ่วมกัน อีกทั้งตราสารหนี้ยังสามารถเปลี่ยนมือกันได้ในตลาดรองคล้ายๆ กับการซื้อขายหุ้นสามัญในตลาดหลักทรัพย์
ตราสารหนี้ เป็นศัพท์กว้างๆ แต่ที่ท่านอาจคุ้นเคยมากกว่า คือ “พันธบัตร” และ “หุ้นกู้” โดยพันธบัตร มักใช้เรียกตราสารหนี้ ที่ออกโดยรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจ และมักเรียกว่าหุ้นกู้เมื่อออกโดยบริษัทเอกชน แต่ในต่างประเทศใช้คำว่า “Bond” สำหรับตราสารหนี้ทั่วไปทั้งที่ออกโดยรัฐและเอกชน มีในบางกรณีที่เรียกว่า “Debenture”เมื่อตราสารหนี้นั้นไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
1. มูลค่าที่ตราไว้ (Par value) | |
หมายถึง มูลค่าที่ผู้กู้จะต้องชำระคืนให้กับผู้ถือตราสารหนี้นั้น เมื่อครบกำหนด เช่น 1,000 บาท หรือ 10,000 บาท | |
2. อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon rate) | |
คือ อัตราดอกเบี้ยที่ ผู้ออกมีภาระที่จะต้องจ่ายให้กับผู้ถือตราสารหนี้นั้น ๆ ตามงวดการจ่ายดอกเบี้ยที่กำหนดตลอดอายุของตราสารหนี้นั้น | |
3. งวดการจ่ายดอกเบี้ย (Coupon frequency) | |
คือ จำนวนครั้ง ของการจ่ายดอกเบี้ยต่อปี ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของผู้ออก ตราสารหนี้ เช่น กำหนด ให้มีการจ่ายดอกเบี้ยทุกครึ่งปี เป็นต้น | |
4. วันหมดอายุหรือวันครบกำหนดไถ่ถอน (Maturity date) | |
หมายถึง วันหมดอายุของตราสารหนี้นั้น ซึ่งผู้ออกจะต้องจ่ายคืนเงินต้นและ ดอกเบี้ยงวดสุดท้าย (ถ้ามี) ให้กับผู้ถือ |
5. ชื่อผู้ออก (Issue) | |
คือ ผู้ออกตราสารหนี้นั้นซึ่งอยู่ใน สถานะเป็นผู้กู้หรือลูกหนี้นั่นเอง | |
6. ประเภทของตราสารหนี้ | |
คือ ข้อมูลที่ระบุประเภทของตราสาร หนี้นั้น เช่น หุ้นกู้ไม่มีประกัน หุ้นกู้ด้อยสิทธิ/ไม่ด้อยสิทธิ หุ้นกู้แปลงสภาพ เป็นต้น | |
7. ข้อสัญญา (Covenants) | |
หมายถึง เงื่อนไขที่ผู้ออกจะต้องปฏิบัติตามหรืองดเว้นการปฏิบัติตลอดอายุของหุ้นกู้ เช่น การห้ามจ่ายเงินปันผลแก่ ู้ถือหุ้นสามัญเกินอัตราที่กำหนด การดำรงสัดส่วนของหนี้สินต่อทุนไม่เกิน อัตราที่กำหนด ข้อสัญญาอาจรวมถึงการจำกัดด้านการบริหารของผู้ออก เช่น การห้ามรวมกิจการ เป็นต้น |
ตราสารหนี้จัดว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการลงทุน ซึ่งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนักลงทุนว่าจะให้ความสนใจต่อช่องทางนี้มาก น้อยเพียงใด โดยพิจารณาจากผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับและระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับ ได้ ส่วนเหตุผลที่ผู้ลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะลงทุนในตราสารหนี้ สามารถสรุปได้ดังนี้
1. เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำเมื่อเทียบกับตราสารทุน
เพราะได้กำหนดอัตราผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอน นักลงทุนสามารถประมาณการณ์กระแสเงินสดที่พึงจะได้รับในอนาคตได้
2. ได้รับผลตอบแทนที่ค่อนข้างคงที่และสม่ำเสมอ
เพราะตราสารหนี้มีการกำหนดจ่ายคูปองไว้ล่วงหน้า
3. เป็นเครื่องมือทางการเงินชนิดหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน
เนื่องจากการลงทุนในตราสารทุนไม่สามารถประมาณการรายได้จาก เงินปันผลหรือส่วนต่างกำไร (capital gain/loss) ที่แน่นอนได้ และปกติตราสารหนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงด้านราคา (volatility) น้อยกว่าตราสารทุน
4. มีตลาดรองรองรับ (Marketability)
การซื้อขายเปลี่ยนมือ และหากเป็นตราสารที่มีคุณภาพดี เช่น ผู้ออกตราสารเป็นรัฐบาลหรือบริษัทเอกชนที่มีฐานะการเงินมั่นคง ก็จะทำให้ตราสารหนี้นั้นมีสภาพคล่อง (liquidity)
5. ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการดำรงสินทรัพย์
สภาพคล่องตามกฎหมายสำหรับธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงิน
6. สามารถนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ
เช่น ใช้ค้ำประกันธุรกิจ ค้ำประกันผู้ต้องหา ใช้ในการบริหารเงินนอกงบประมาณสำหรับหน่วยราชการ เป็นต้น ทั้งนี้ข้อ 5 และข้อ 6 จะเป็นในกรณีเฉพาะตราสารหนี้จากภาครัฐ
ภาษีที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน
ตราสารหนี้ | ตราสารทุน | ||
1. สิทธิในการเรียกร้อง (Priority Claim) | ผู้ถือตราสารหนี้ซึ่งอยู่ในฐานะเจ้า หนี้ีสิทธิในการเรียกร้องสูงกว่าผู้ถือตราสารทุน ซึ่งอยู่ในฐานะเจ้าของ บริษัท หากบริษัทมีปัญหาทางการเงินหรือถูกฟ้องล้มละลาย บริษัทจะต้องขาย ทอดตลาดสินทรัพย์ และชำระบัญชี โดยนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดชำระคืนให้แก่ผู้ถือตราสารหนี้ ก่อนผู้ถือตราสารทุน | ผู้ถือตราสารทุนซึ่งอยู่ ในฐานะเจ้าของบริษัทมีสิทธิในการเรียกร้องต่ำกว่าผู้ถือตราสารหนี้ โดยจะได้รับ ชำระเมื่อบริษัทชำระคืนให้แก่ผู้ถือตราสารหนี้(เจ้าหนี้)ครบถ้วนแล้ว | |
2. ความเป็นเจ้าของ (Ownership) | ผู้ถือตราสารหนี้ไม่มีสิทธิออกเสียง ในการประชุมหรือการตัดสินใจ ในการดำเนินงานของบริษัทเนื่องจากอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ไม่ใช่เจ้าของบริษัท | ผู้ถือตราสารทุน มีสิทธิออกเสียง ในการประชุมหรือการตัดสินใจ ในการดำเนินงานของบริษัทเนื่องจากอยู่ในฐานะเจ้าของบริษัท | |
3. ผลตอบแทน (Return) | ตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนที่ค่อน ข้างสม่ำเสมอ ในรูปกระแสเงินสดที่เป็นดอกเบี้ยตามระยะเวลาที่กำหนด | ตราสารทุนให้ผลตอบแทนที่อาจ ไม่สม่ำเสมอในรูปกระแสเงินสดที่เป็นเงินปันผลซึ่งขึ้นอยู่กับ ผลกำไรและนโยบายของบริษัท | |
4. อายุของตราสาร | มีระยะเวลาที่กำหนดไว้แน่นอน กล่าวคือ มีอายุจำกัด | อายุของตราสารทุนไม่จำกัด | |
รายได้จากดอกเบี้ย | กำไรจากการขาย | รายได้จากส่วนลด | |
หักภาษี ณ ที่จ่าย 15% และมีสิทธิเลือกที่จะ ไม่นำไปรวมคำนวณภาษี รายได้สิ้นปี | หักภาษี ณ ที่จ่าย 15% และมีสิทธิเลือกที่จะ ไม่นำไปรวมคำนวณภาษี รายได้สิ้นปี (ยกเว้น ตราสารหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ยซึ่งได้หักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ไปแล้วจากผู้ถือคนแรก) | หักภาษี ณ ที่จ่าย 15% เฉพาะผู้ถือคนแรก และมีสิทธิเลือกที่จะ ไม่นำไปรวมคำนวณ ภาษีรายได้สิ้นปี |
No comments:
Post a Comment